ก้านไม้กอล์ฟเป็นส่วนสำคัญที่สุดส่วนหนึ่งของไม้กอล์ฟ บางคนบอกว่า “engine of golf club” แต่ก็มีบางคนไม่เห็นด้วย แต่อย่างไรก็ตาม หาก้านไม้กอล์ฟ ไม่ว่าจะเป็นสำหรับไดรเวอร์ แฟร์เวย์ หรือในชุดเหล็ก มันสามารถช่วยให้คุณเล่นกอล์ฟได้ดีขึ้น คงเส้นคงเส้นคงวามากขึ้น
พื้นฐานก้านชุดเหล็ก รวมทั้งในก้านเวดจ์ด้วย ที่นักกอล์ฟควรรู้ไว้บ้าง ลองอ่านกันดูครับ
ก้านเหล็ก (Iron Shafts)
มีอยู่ 4 ประเภทหลัก ๆ สำหรับก้านเหล็ก (รวมถึงก้านของเวดจ์) ที่คุณควรทราบ:
ก้านเหล็กแบบ Taper Tip
ก้านแบบ Taper Tip คือก้านที่มักพบในไม้กอล์ฟที่ขายในร้านกอล์ฟทั่วไป ที่ปลายก้านซึ่งเสียบเข้ากับหัวเหล็ก ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางจะอยู่ที่ 0.355 นิ้ว และจะขยายออกเป็นประมาณ 0.370 นิ้วเมื่อเสียบสุด นักกอล์ฟใน PGA หลายคนชอบใช้ก้านแบบ Taper Tip เพราะมันเป็นก้านที่มีน้ำหนักคงที่ น้ำหนักก้านสำหรับเหล็กแต่ละเบอร์จะคงที่ ซึ่งมี Flex หลายระดับ เช่น A, R, S, X แต่ Flex ของก้านแบบ Taper Tip นั้น ไม่สามารถปรับได้มากนัก
ก้านเหล็กแบบ Parallel Tip
ก้านแบบ Parallel Tip เริ่มมีในท้องตลาดช่วงปี 1970 สาเหตุเพราะผู้ผลิตต้องการควบคุมสต็อกก้านไม้กอล์ฟ ก้าน Parallel Tip มีเส้นผ่านศูนย์กลางปลายก้านเท่ากันตลอด โดยขนาดอยู่ที่ 0.370 นิ้ว ช่างฟิตไม้กอล์ฟหลายคนชอบใช้ก้าน Parallel Tip เพราะสามารถตัดปลายก้านเพื่อปรับระดับความยืดหยุ่น หรือว่า Flex ตามความเหมาะสมกับนักกอล์ฟได้ ก้าน Parallel Tip ไม่ใช่ก้านน้ำหนักคงที่ ดังนั้นน้ำหนักของก้านจะเบาลงเมื่อเปลี่ยนจากเหล็กยาวไปเหล็กสั้น
วัสดุก้าน – เหล็กหรือกราไฟท์
ส่วนใหญ่แล้วนักกอล์ฟใน PGA จะใช้ก้านเหล็ก แต่ก็ยังมีก้านกราไฟท์และเหล็กที่มีคุณภาพดีมากมายให้เราเลือกใช้ ก้านกราไฟท์มีหลายระดับความยืดหยุ่นและน้ำหนัก ตั้งแต่ประมาณ 50 กรัมไปจนถึง 120 ถึง 130 กรัม ขณะที่ก้านเหล็กเดิมทีจะมีน้ำหนักตั้งแต่ประมาณ 100 ถึง 130 กรัม แต่ปัจจุบันก้านเหล็กที่มีน้ำหนักเบาลงถึงประมาณ 75 กรัมก็มีให้เลือกใช้งานแล้ว ซึ่งมีความเข้าใจผิดกันว่าก้านกราไฟท์ไม่มีคุณภาพ แต่จริง ๆ แล้วมันไม่เป็นความจริงเลย
ก้านเฉพาะทาง
นอกจากนี้ยังมีก้านเหล็กเฉพาะทางที่ออกแบบมาเพื่อใช้กับเวดจ์ (บางครั้งเรียกว่า “Spinner Shafts” ที่ช่วยให้ลูกลอยต่ำและมีสปินสูง) และยังมีก้านที่ออกแบบมาสำหรับไม้ไฮบริดโดยเฉพาะ ก้านเหล่านี้มีทั้งแบบเหล็กและกราไฟท์ให้เลือกใช้