Keyword Research ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดของ SEO

by | Jul 19, 2567 | SEO

ทำไมการวิจัยคีย์เวิร์ด หรือคำหลัก ถึงสำคัญมาก?

การวิจัยคีย์เวิร์ดเป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุดของทุกโปรเจค SEO ด้วยเหตุผล 2 ประการ:

1. เพื่อค้นหาคีย์เวิร์ดที่มีปริมาณการค้นหา (Traffic) มิฉะนั้นคุณอาจเสียเวลาและความพยายามไปกับการพยายามทำอันดับคีย์เวิร์ดที่ไม่ได้สร้างการเข้าชมเลย

2. เพื่อหาคีย์เวิร์ดที่ง่ายต่อการทำอันดับในผลการค้นหา หากคุณไม่ศึกษาการแข่งขันของคีย์เวิร์ด คุณอาจเสียเวลาและความพยายามไปกับคีย์เวิร์ดบางคำ แต่กลับพบว่ามันยากเกินไปที่จะติดหน้าแรก

สองเป้าหมายนี้เป็นตัวกำหนดความสำเร็จของโปรเจค SEO

โพสนี้จะกล่าวถึงวิธีการค้นหาคีย์เวิร์ดที่ดีที่สุดและวิธีหลีกเลี่ยงการเสียเวลากับคีย์เวิร์ดที่ไม่ถูกต้อง แต่ก่อนอื่นเราต้องนิยามก่อนว่าคีย์เวิร์ดคืออะไร

คีย์เวิร์ดคืออะไรกันแน่?

หากคุณเป็นมือใหม่ด้าน SEO คุณอาจสงสัยว่าคีย์เวิร์ดคืออะไร

คีย์เวิร์ดหรือคำค้นหาหลัก คือ วลีใด ๆ ที่คุณต้องการให้เว็บไซต์ของคุณติดอันดับในผลการค้นหาของ Google คีย์เวิร์ดอาจเป็นคำเดียวหรือหลายคำผสมกันก็ได้ หากคุณพยายามเน้นเป้าหมายไปที่คำเดียว ระวังไว้! คุณจะต้องทำงานหนักมาก คีย์เวิร์ดคำเดียวมีการแข่งขันสูงมากและยากที่จะทำอันดับสูงในผลการค้นหา

ต่อไปนี้คือประเภทต่าง ๆ ของคีย์เวิร์ด:

คีย์เวิร์ด Head-Term: คีย์เวิร์ดที่มี 1-2 คำ เช่น golf shafts (ก้านไม้กอล์ฟ)

คีย์เวิร์ด Long-Tail: คีย์เวิร์ดที่มี 3 คำขึ้นไป เช่น ก้านไม้กอล์ฟ KBS tour 90

คีย์เวิร์ดเพื่อการนำทาง (Navigational Keywords): คีย์เวิร์ดที่ใช้ค้นหาแบรนด์หรือเว็บไซต์ เช่น Facebook, YouTube, Gmail

คีย์เวิร์ดเพื่อการค้นหาข้อมูล (Informational Keywords): คีย์เวิร์ดที่ใช้ค้นหาข้อมูลในหัวข้อใดหัวข้อหนึ่ง รวมถึงคีย์เวิร์ดที่ขึ้นต้นด้วย “how to…” หรือ “what are the best…”

คีย์เวิร์ดเพื่อการทำธุรกรรม (Transactional Keywords): คีย์เวิร์ดที่ลูกค้าใส่ลงใน Google เพื่อต้องการทำการค้า เช่น buy jackets online (ซื้อแจ็คเก็ตออนไลน์)

ในหลายกรณี การเน้นคีย์เวิร์ด Head-Term หรือคีย์เวิร์ดนำทางของแบรนด์อื่นนั้นมีการแข่งขันสูงและไม่คุ้มค่าเวลาหรือความพยายาม แม้จะมียอดการค้นหาสูง แต่มักจะไม่นำไปสู่การขาย ในทางกลับกัน คีย์เวิร์ด Long-Tail, คีย์เวิร์ดเพื่อการค้นหาข้อมูล และคีย์เวิร์ดเพื่อการทำธุรกรรม เป็นคีย์เวิร์ดที่ดีสำหรับโปรเจค SEO ส่วนใหญ่ เพราะจะนำไปสู่การมีลูกค้ามากขึ้น

วิธีการสร้างรายการคีย์เวิร์ดปริมาณมากๆ

มีวิธีการมากมายในการหาคีย์เวิร์ดที่เหมาะสม ก่อนที่คุณจะหาคีย์เวิร์ดที่มีปริมาณการค้นหาจำนวนมากใน Google คุณจะต้องสร้างรายการคีย์เวิร์ดที่อาจเกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณก่อน

1. ใช้เครื่องมือค้นหาคีย์เวิร์ดฟรีเช่น Google Keyword Planner, Ubersuggest หรือ Keyword Tool เพื่อค้นหาคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณ

2. ตรวจสอบคีย์เวิร์ดที่คู่แข่งกำลังใช้บน SERP (Search Engine Results Page) และในกลยุทธ์การตลาดของพวกเขา

3. สำรวจเว็บไซต์ของคุณ บล็อก และสื่อสังคมออนไลน์ เพื่อหาคีย์เวิร์ดที่ลูกค้าของคุณกำลังใช้ค้นหา

4. สร้างรายการคีย์เวิร์ดที่แสดงถึงปัญหาหรือความต้องการของลูกค้าเป้าหมายของคุณ

5. ใช้เครื่องมือ Keyword Research เพื่อหาคีย์เวิร์ดที่มีปริมาณการค้นหาสูงและมีความเกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณ

6. ทดสอบและวิเคราะห์ผลการใช้คีย์เวิร์ดเหล่านี้ เพื่อค้นหาคีย์เวิร์ดที่ทำให้ผู้คนสนใจและมีปฏิสัมพันธ์กับเนื้อหาของคุณ

การสร้างรายการคีย์เวิร์ดที่มีคุณภาพและครอบคลุมจะเป็นพื้นฐานที่สำคัญสำหรับกลยุทธ์การตลาดออนไลน์ที่ประสบความสำเร็จ

หากคุณพยายามโฟกัสลูกค้ากว้างเกินไป คุณอาจสุ่มเสี่ยงที่จะเลือกคำหลักที่ไม่เกี่ยวข้องกับกลุ่มเป้าหมายของคุณ ตัวอย่างเช่น หากคุณเป็นผู้ค้าปลีก ก้านไม้กอล์ฟออนไลน์ คำหลักที่เกี่ยวข้องอาจเป็น:

– ก้านไม้กอล์ฟ KBS
– ก้านไดร์เวอร์ Fujikura Ventus
– วิธีการเลือกซื้อก้านไม้กอล์ฟ (คำหลัก how to)

แทนที่จะเลือกคำหลักที่กว้างไป เช่น “ไม้กอล์ฟ” หรือ “ก้านไม้กอล์ฟ” ซึ่งมันกว้างไป โอกาสติดหน้าแรก อาจจะลดลง เนื่องจากมีคู่แข่งจำนวนมากนั่นเอง

การเลือกคำหลักที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มเป้าหมายจะช่วยให้คุณมุ่งเน้นไปที่ผู้บริโภคที่มีความสนใจในผลิตภัณฑ์หรือบริการของคุณ และเพิ่มโอกาสในการแปลงยอดขายได้มากขึ้น

การรักษาความเกี่ยวข้องเป็นสิ่งสำคัญ คุณต้องพัฒนารายการคำหลักที่เป็นไปได้เพื่อใช้เป็นแหล่งข้อมูล แล้วจึงค้นหาคำหลักที่ดีที่สุดซึ่งมีปริมาณการสืบค้นในแต่ละเดือนใน Google อย่างเพียงพอ

กลยุทธ์ง่ายแต่ได้ผล ในการสร้างรายการคีย์เวิร์ด (keywords list)

1. ไปส่องคู่แข่ง เขาใช้ คำหลัก อะไร เอามันมาปรับใช้

มีเครื่องมือมากมายที่สร้างขึ้นเพื่อจุดประสงค์นี้ เครื่องมือง่ายและฟรีอย่างเช่น Keyword Density Checker หากคุณป้อนหน้าเข้าไป ภายในเสี้ยววินาที มันจะดูดรายการคำหลักที่คู่แข่งกำลังใช้เพิ่มประสิทธิภาพเข้าไปในหน้านั้น คุณสามารถนำมาปรับใช้เพื่อขยายรายการคำหลักของคุณได้

Keyword Density Checker – SEO Review Tools

ในขณะที่ Keyword Density Checker เป็นเครื่องมือง่ายๆ ที่ยอดเยี่ยมสำหรับเผยคำหลักที่คู่แข่งกำลังใช้อยู่ เครื่องมือที่ทรงพลังกว่าคือรายงาน Organic Keywords ของ Ahrefs ซึ่งประมาณการคำหลักที่กำลังส่งปริมาณ Traffic ไปยังเว็บไซต์ของคู่แข่ง ประมาณการนี้มีความแม่นยำสมเหตุสมผลและสามารถเป็นทรัพยากรที่มีค่าสำหรับการขยายรายการคำหลักของคุณ

ในขณะที่รายงาน Ahrefs ดีและละเอียดกว่า แต่ก็มีราคาค่าใช้จ่าย Ahrefs ปัจจุบันเสนอทดลองใช้เป็นเวลา 7 วันในราคา 7 ดอลลาร์ และหลังจากการทดลองใช้เริ่มต้น การเรียกเก็บค่าบริการรายเดือนเริ่มต้นที่ 99 ดอลลาร์ต่อเดือน Ahrefs เหมาะสำหรับผู้ปฏิบัติงานด้าน SEO ระดับกลางถึงขั้นสูง นักการตลาด และตัวแทน SEO

ahref

Ahrefs – All-in-One SEO Toolset
https://ahrefs.com

การระดมสมองสร้างรายการคำหลักของคุณเอง

การที่ไปส่องเว็บคู่แข่งว่าใช้คำหลักอะไรบ้าง แล้วนำมาใช้กับเว็บของเราบ้างก็ใช่ว่าจะดีเสมอไป เพราะเขาอาจจะทำการวิจัยคีย์เวิร์ดมาไม่ดีพอก็เป็นได้ การระดมสมองสร้างคำหลักในรูปแบบต่างๆ ด้วยตัวเองเป็นกลยุทธ์ที่ดี คุณสามารถสร้างรายการคำหลักที่มีศักยภาพได้เป็นจำนวนมาก

วิธีการทำคือ จงวาดรูปตารางคำที่ลูกค้าเป้าหมายของคุณอาจจะใช้ แล้วแบ่งคำเหล่านั้นออกเป็นคำเติมหน้า (prefix) และคำเติมท้าย (suffix) จากนั้นนำมารวมเป็นรายการคำหลักขนาดใหญ่โดยใช้เครื่องมือ Mergewords อย่างเช่น wordsmerger.com (ฟรี) ด้วยวิธีนี้ คุณสามารถสร้างรายการคำหลักที่เกี่ยวข้องขึ้นมาได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย

เครื่องมือระดมสมองสร้าง keyword list
เครื่องมือระดมสมองสร้าง keyword list wordsmerger

การตรวจสอบและค้นหาข้อมูลในตลาดเฉพาะของคุณ

มีผู้ใช้อินเทอร์เน็ตถึง 4.54 พันล้านคนทั่วโลก แม้แต่ถ้าคุณขายนาฬิกาแมวน้ำลายเสือดาว ก็ยังมีกลุ่มคนที่สนใจในสิ่งที่คุณขายอยู่บนอินเทอร์เน็ต… คือผมกำลังสื่อว่ามันมีทุกอย่าง คุณแค่ต้องไปค้นหาพวกเขา

ใช้ เบราว์เซอร์ (ผมใช้ Chrome) เปิดหลายๆแท็บและเรียกดูชุมชนออนไลน์ต่างๆ เช่น Reddit, Quora, กลุ่มเฟซบุ๊ค, ชุมชน Slack, แฮชแท็กทวิตเตอร์ และเรียกดูกระทู้ยอดนิยม จับตามองหัวข้อยอดนิยมและคำถามที่มักจะเกิดขึ้นซ้ำๆ คุณจะพบคำถามที่ผู้บริโภคกำลังค้นหาคำตอบ ซึ่งจะเป็นแนวคิดคำหลักที่ดีที่สุด มันเป็นคำหลักโดยตรงจากแป้นพิมพ์ของลูกค้า คุณสามารถค้นพบฟอรัมเฉพาะตลาดเพิ่มเติมได้จากการใช้คำค้นหาต่อไปนี้:

“keyword” forums
“keyword” discussion board
“keyword” online community

การใช้เครื่องมือช่วยผ่อนแรง ค้นหา คำหลัก ที่โดนๆ

การวิจัยแนวโน้มทางอินเทอร์เน็ตและการค้นหาข้อมูลเชิงลึกเบื้องหลังกล่องค้นหาของ Google นั้นไม่ใช่แนวคิดใหม่ และโชคดีที่มีผู้คนฉลาดได้สร้างเครื่องมือที่ทรงพลังเพื่อทำให้งานนี้ง่ายขึ้น เพิ่มเครื่องมือเหล่านี้เข้าไป ในการช่วยหาคำหลักของคุณ นอกจากจะประหยัดเวลาในการวิจัยแล้ว คุณยังจะได้รับข้อเสนอแนะที่เกี่ยวข้องมากมายซึ่งคุณอาจไม่พบได้ด้วยวิธีอื่น

Ubersuggest ไม่มีคำแนะนำด้าน SEO ที่สมบูรณ์แบบหากไม่กล่าวถึง Ubersuggest เครื่องมือนี้ช่วยเปิดเผยคำแนะนำในการเติมอัตโนมัติเบื้องหลังกล่องค้นหาของ Google มันให้ข้อมูลเฉพาะภูมิภาคสำหรับประเทศและภาษาทั่วโลก และจุดเด่นที่สุดคือ มันเป็นเครื่องมือที่ใช้ฟรี แน่นอนว่า ต้องเสียเงินเมื่อต้องการดูข้อมูลมากขึ้น

ubersuggest

Answer The Public ค้นหาข้อมูลในอินเทอร์เน็ตและสร้างรายการคำถามของลูกค้าที่เกี่ยวข้องกับคีย์เวิร์ดของคุณโดยอัตโนมัติ Answer The Public เริ่มต้นด้วยวลีที่เริ่มต้นด้วยคำถามทั่วไป เช่น “how”, “when”, “can” และอื่นๆ ตามด้วยคีย์เวิร์ดของคุณ มันยังให้รายการยาวของวลีที่มีคำบุพบท เช่น “can”, “is”, “with”, “without” นำหน้าคีย์เวิร์ดของคุณ และเพื่อเป็นจุดสูงสุด มันยังแสดงคำถามทั่วไปที่ผู้ใช้พิมพ์ในกูเกิล จากตัวอักษร A ถึง Z หลังคีย์เวิร์ดของคุณ (คำนามหลัง หากต้องการพูดอย่างเป็นทางการ) กล่าวอีกนัยหนึ่ง มันเป็นฐานข้อมูลขนาดใหญ่ของคำถามที่ลูกค้ากำลังถามเกี่ยวกับหัวข้อของคุณ

Buzzsumo บางครั้งแนวคิดอาจเป็นที่นิยมในอินเทอร์เน็ตก่อนที่จะมีการพิมพ์ในกล่องค้นหาของ Google คุณสามารถไปข้างหน้าของแนวโน้มเหล่านี้ด้วยเครื่องมือค้นพบเนื้อหาอย่างเช่น Buzzsumo

Buzzsumo แสดงเนื้อหาที่กำลังแพร่กระจายไปทั่วอินเทอร์เน็ตในขณะนี้ คุณสามารถติดตามสิ่งที่กำลังมาแรงทั่วเว็บได้แม้ว่าเครื่องมืออื่นจะยังไม่ได้รับข้อมูลนั้น ใช้เครื่องมือข้างต้นและคุณจะมีคีย์เวิร์ดในมือมากขึ้น และคุณจะพร้อมที่จะเริ่มค้นหาว่าคีย์เวิร์ดใดมีปริมาณ Traffic ที่แข็งแกร่งพอที่จะส่งไปยังเว็บไซต์ของคุณ

วิธีค้นหาคำหลักที่จะนำพาผู้เข้าชมมายังเว็บไซต์ของคุณ

เมื่อคุณมีรายการคำหลักแล้ว คุณจำเป็นต้องทำความเข้าใจว่าคำหลักเหล่านี้ได้รับการค้นหาบนกูเกิลมากเพียงใด การขาดข้อมูลเกี่ยวกับปริมาณการค้นหาอาจทำให้คุณหลงไปใช้คำหลักที่ไม่มีผู้ค้นหาเลย แต่เมื่อคุณมีความรู้ที่ถูกต้อง คุณสามารถโฟกัสคำหลักที่มีศักยภาพในการดึงดูดผู้เข้าชมหลายร้อยหรือหลายพันคนต่อเดือน

อย่างไรก็ตาม ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา กูเกิลได้จำกัดการเข้าถึงข้อมูลเบื้องหลังช่องค้นหาของกูเกิล ทำให้เราเหลือตัวเลือกเพียงสองอย่างในการค้นหาข้อมูลปริมาณการค้นหาคำหลัก

ประการแรก หากคุณมีแคมเปญโฆษณากูเกิลที่กำลังดำเนินอยู่และมีการใช้จ่ายเพียงเล็กน้อย คุณก็จะสามารถเข้าถึงข้อมูลนี้ได้ฟรีผ่านเครื่องมือ Keyword Planner ของพวกเขา หากไม่ใช่ตัวเลือกอื่นคือการใช้เครื่องมือค้นหาคำหลักแบบจ่ายเงินเป็นรายเดือน เช่น keywordtool.io เนื่องจากกูเกิลทำให้ข้อมูลการค้นหาไม่สามารถเข้าถึงได้ฟรี เครื่องมือค้นหาคำหลักฟรีจึงหายไปจากตลาด ทำให้เครื่องมือค้นหาคำหลักแบบจ่ายเงินเป็นตัวเลือกที่เป็นไปได้เดียวในการหาข้อมูลปริมาณการค้นหาสำหรับคำหลักในปัจจุบัน

หากคุณมีงบประมาณจำกัด คุณสามารถสมัครแผนการจ่ายเงินกับเครื่องมือค้นหาคำหลักแบบจ่ายเงินที่มีอยู่ในตลาดแล้วขอคืนเงินหลังจากทำการค้นหาเสร็จสิ้น ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ดี แต่ก็เป็นตัวเลือกหนึ่ง ไม่ว่ากรณีใด คุณจำเป็นต้องมีข้อมูลเกี่ยวกับปริมาณการค้นหาสำหรับคำหลักของคุณ มิฉะนั้นคุณจะเหมือนคนตาบอดคลำช้างทำงานในความมืด

การประมาณปริมาณการค้นหาคำหลักด้วย Google Keyword Planner

ตามที่กล่าวไว้ เพื่อเข้าถึงข้อมูลปริมาณการค้นหาที่มากมายจากเครื่องมือ Google Ads Keyword Planner คุณจะต้องมีแคมเปญ Google Ads ที่กำลังดำเนินอยู่และมีการใช้จ่ายอย่างสม่ำเสมอ แม้เพียงเล็กน้อยก็ได้ หากคุณเป็นเช่นนั้น ให้เข้าสู่ระบบ คลิกที่ “เครื่องมือ” ในเมนูด้านบน จากนั้นคลิก “Keyword Planner” และเลือก “รับข้อมูลปริมาณการค้นหาและการพยากรณ์” จากนั้นคัดลอกและวางคีย์เวิร์ดของคุณลงในช่อง เลือกประเทศของคุณ และคลิก “เริ่มต้น” เมื่อเสร็จสิ้น คุณจะได้รับจำนวนครั้งที่แต่ละคีย์เวิร์ดถูกค้นหาใน Google

ข้อมูลสด นี่คือข้อมูลที่เราต้องการอย่างแท้จริง

ตอนนี้เราทราบว่าคีย์เวิร์ดใดได้รับการค้นหามากกว่ากัน และสิ่งที่สำคัญกว่านั้น เราทราบว่าคีย์เวิร์ดใดที่ไม่ได้รับการค้นหาเลย

การประมาณปริมาณการค้นหาคำหลักด้วย KWFinder

KWFinder
https://mangools.com/blog/keyword-research/
หากคุณต้องการใช้เครื่องมือวิจัยที่มุ่งเน้นการค้นหาคำหลักและการค้นหาข้อมูลทาง SEO มากขึ้น คุณสามารถใช้เครื่องมือที่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเช่น KWFinder ผมชื่นชอบ KWFinder เพราะใช้งานง่าย มีคำแนะนำคำหลักที่เกี่ยวข้อง และข้อมูลการแข่งขัน แต่คุณไม่จำกัดอยู่เพียงเครื่องมือนี้เท่านั้น ยังมีตัวเลือกอื่นๆ ที่คุณสามารถค้นหาได้จากการค้นหาบนกูเกิล

โดยยกตัวอย่างการใช้ KWFinder หลังจากสร้างบัญชี เพียงเข้าสู่ระบบ เลือกพื้นที่เป้าหมาย (เช่น กรุงเทพ ประเทศไทย หากนั่นเป็นฐานลูกค้าของคุณ) จากนั้นป้อนไอเดียคำหลักของคุณและดาวน์โหลดข้อมูลที่สำคัญ ทั้งนี้คุณสามารถใช้เวลาให้เป็นประโยชน์โดยมุ่งเน้นไปที่คำหลักที่มีศักยภาพในการค้นหา แทนที่จะไล่ตามคำหลักที่ไม่มีการค้นหาและโอกาสในการเติบโตของธุรกิจน้อย

 

วิธีการใช้งาน KWFinder เบื้องต้น

วิธีการค้นหาคำหลักที่ง่าย คู่แข่งน้อย

ก่อนอื่นต้องรู้ว่า keywords ที่ต้องการใช้นั้นมีการแข่งขันสูงเพียงใด เมื่อเข้าใจถึงความสามารถในการแข่งขันของ keywords แล้ว จึงจะสามารถค้นพบ keywords ที่มีโอกาสติดอันดับที่ดีบนกูเกิลได้

ยกตัวอย่างเช่น คุณเป็นผู้ขายหนังสือมือสอง และและเลือกใช้ คำหลัก “ร้านหนังสือออนไลน์”  มันก็ไม่น่าจะชนะ ร้านหนังสือซีเอ็ด นายอินทร์ไปได้

ลองดัดแปลงนิดหน่อย เป็น “ร้านหนังสือโบราณออนไลน์” มันอาจจะง่ายกว่าที่จะติดหน้าแรกบนกูเกิล แต่ต้องมั่นใจนะว่า คำหลักที่ใช้นี้ มีคนค้นหาพอสมควร

คุณจะมีข้อได้เปรียบถ้าคู่แข่งของคุณยังไม่ได้คิดที่จะมุ่งเป้าไปที่คำหลักของคุณ คุณแค่ต้องทำ SEO ให้ดีกว่าพวกเขาก็จะมีโอกาสที่จะเอาชนะอันดับของพวกเขาได้ ส่วนหนึ่งของนี้คือการมีรายการคำหลักที่ใหญ่สำหรับการวิจัยของคุณ

ต่อไป คุณต้องล้างรายการนี้และแยกคำหลักที่มีการแข่งขันสูงอย่างไร้เหตุผลออกจากคำหลักที่ง่ายซึ่งไม่มีใครกำลังมุ่งเป้าไปอย่างรุนแรง

มีหลายแนวคิดในการค้นหาความสามารถในการแข่งขันของคำหลักของคุณ วิธีปฏิบัติที่แพร่หลายที่สุดมีดังต่อไปนี้ พร้อมความคิดเห็นของฉันเกี่ยวกับแต่ละวิธี

theMindset

เรียนรู้ "วิธีคิดที่ถูกต้อง" จากคนสำเร็จระดับโลก

เริ่มต้นจาก "วิธีคิดที่ถูกต้อง" แล้วทุกอย่างมันจะง่าย คุณจะเข้าใจและไม่ไปหลงกับ แสง สี เสียง ที่มันไม่ตอบโจทย์ชีวิตคุณ

You have Successfully Subscribed!