On-page SEO: เทคนิคง่ายๆ ในการให้ Google เข้าใจเว็บไซต์ของคุณ

by | Sep 13, 2567 | SEO

Google การทำ SEO บนหน้าเว็บให้ถูกต้องนั้นสำคัญมาก เพราะจะช่วยให้ Google รู้ว่าคุณต้องการให้เจอคีย์เวิร์ดอะไรบ้าง และยังเป็นวิธีง่ายๆ ในการเพิ่มประสิทธิภาพของเว็บไซต์อีกด้วย

สิ่งที่คุณควรคำนึงถึงในการทำ SEO บนหน้าเว็บมีดังนี้:

  1. ทำให้แน่ใจว่าเนื้อหาในเว็บไซต์ของคุณถูกเสิร์ชเอนจินมองเห็นได้
  2. ตรวจสอบว่าเว็บไซต์ของคุณไม่บล็อกการเข้าถึงของเสิร์ชเอนจิน
  3. ตรวจสอบว่าเสิร์ชเอนจินจับคีย์เวิร์ดที่คุณต้องการได้ถูกต้อง
  4. สร้างประสบการณ์การใช้งานที่ดีให้กับผู้เข้าชมเว็บไซต์

โดยส่วนใหญ่แล้ว การทำ SEO บนหน้าเว็บสามารถทำได้เอง ถ้าคุณมีพื้นฐานการจัดการเว็บไซต์อยู่บ้าง แต่ถ้าคุณไม่ถนัดด้านเทคนิค ก็ไม่ต้องกังวลมากนัก บทนี้อาจจะมีเรื่องเทคนิคบ้าง แต่คุณควรอ่านไว้เพื่อเข้าใจว่าต้องทำอะไรบ้างในการให้เว็บไซต์ติดอันดับบน Google ถ้าไม่อยากทำเองก็สามารถจ้างนักพัฒนาเว็บมาช่วยได้หลังจากคุณเข้าใจหลักการแล้ว

Table of Contents
2
3

โครงสร้างเว็บไซต์ให้เหมาะกับ SEO แบบง่ายๆ และอัตโนมัติ

การปฏิบัติที่ดีที่สุดเหล่านี้จะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณถูกเสิร์ชเอนจินอย่าง Google รับรู้ได้ง่ายขึ้น:

ทำ URL ให้อ่านง่ายและเป็นมิตรกับเสิร์ชเอนจิน

คุณเคยเห็น URL ที่ยุ่งเหยิงแบบนี้ไหม:

https://www.examplesite.com/~articlepage21/post-entry321.asp?q=3

เห็นแล้วสับสนใช่ไหม? URL แบบนี้นอกจากทำให้เสิร์ชเอนจินงงแล้ว ยังทำให้ผู้ใช้สับสนด้วย URL ที่สะอาดและเป็นระเบียบจะทำให้การค้นหาง่ายขึ้น เช่น:

https://www.examplesite.com/on-page-seo

ดูดีกว่าเยอะเลยใช่ไหม? ลองสังเกตผลการค้นหาของ Google คุณจะเห็นว่าเว็บไซต์ที่อยู่ในอันดับต้นๆ ส่วนใหญ่จะมี URL ที่อ่านง่ายและเข้าใจได้แบบนี้ ถ้าเว็บไซต์ของคุณยังใช้ URL ที่ยุ่งเหยิงอยู่ ก็ถึงเวลาที่จะคุณต้องเรียนรู้เรื่องของ On Page SEO แล้ว ข่าวดีคือ คุณสามารถทำมันได้ด้วยตัวเอง โดยการศึกษาบทความนี้อย่างละเอียด

การนำทางภายในเว็บไซต์

การจัดการนำทางในเว็บไซต์มีหลายวิธี คุณสามารถออกแบบได้ตามใจชอบ แต่บางครั้งถ้ามันซับซ้อนเกินไปก็อาจทำให้เสิร์ชเอนจินและผู้ใช้หาเนื้อหาที่ต้องการไม่เจอ บางเว็บไซต์อาจใช้เมนูแบบเรียบง่ายที่แสดงอยู่ด้านบนหรือด้านข้างของหน้าต่างเบราว์เซอร์ ซึ่งเป็นวิธีที่ทำให้การนำทางในเว็บไซต์ชัดเจนและเข้าใจง่าย ไม่เพียงแค่สำหรับผู้ใช้ แต่ยังสำหรับเสิร์ชเอนจินด้วย

ที่สำคัญคือ การนำทางในเว็บไซต์ควรใช้ลิงก์ข้อความ ไม่ใช่รูปภาพ! ถ้าการนำทางของเว็บไซต์คุณใช้รูปภาพ เปลี่ยนมาใช้ข้อความทันที เพราะถ้าใช้รูปภาพในการนำทาง เสิร์ชเอนจินจะไม่สามารถเห็นหน้าเพจภายในของคุณได้อย่างเต็มที่

อีกหนึ่งวิธีที่ช่วยให้ SEO ดีขึ้นคือการใส่ลิงก์ไปยังหน้าที่สำคัญไว้ที่หน้าแรก เมื่อ Google มาเยี่ยมชมเว็บไซต์ มันจะรู้ได้ทันทีว่าหน้าไหนสำคัญและควรจัดอันดับในผลการค้นหา

วิธีทำให้ Google เข้าใจคีย์เวิร์ดที่คุณต้องการ

หลายคนยังมีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการทำ SEO โดยเฉพาะเรื่องการใส่คีย์เวิร์ดในหน้าเว็บ บางคนถึงกับแนะนำว่าไม่ควรใส่คีย์เวิร์ดในเนื้อหาของหน้าเลย นั่นเป็นความเข้าใจที่ผิด แม้พวกเขาจะมีเจตนาดีและพยายามหลีกเลี่ยงการถูกมองว่าเป็นสแปมโดย Google แต่มันก็ทำให้สถานการณ์แย่ลง ถ้าคุณไม่ใส่คีย์เวิร์ดในหน้าเว็บเลย Google จะไม่สามารถจับคู่หน้าของคุณกับคีย์เวิร์ดที่คุณต้องการได้ และถ้า Google ไม่สนใจคีย์เวิร์ดเลย ก็คงจะเป็นเครื่องมือค้นหาที่ใช้งานไม่ได้ดีนัก

ลองคิดดูสิ ถ้าคุณค้นหา “ก้านไดรเวอร์ Fujikura Ventus” แต่ไปเจอหน้าที่ไม่มีคำเหล่านี้เลย มันก็คงเป็นไปได้ยากที่คุณจะเจอสิ่งที่ต้องการ Google จำเป็นต้องเห็นคีย์เวิร์ดบนหน้าของคุณ และคีย์เวิร์ดเหล่านั้นควรชัดเจนและมองเห็นได้โดยผู้ใช้ วิธีง่ายๆ คือ สร้างเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับคีย์เวิร์ดของคุณ หรือสอดแทรกคีย์เวิร์ดเข้าไปอย่างเป็นธรรมชาติในหน้าเว็บ แต่อย่าทำให้หน้าเว็บดูเป็นแบบนี้:

“ยินดีต้อนรับสู่ร้านเสื้อ XYZ เรามีเสื้อ XYZ หลายแบบ เสื้อ XYZ สำหรับผู้หญิง เสื้อ XYZ สำหรับผู้ชาย เสื้อ NFL สำหรับเด็ก และอีกมากมาย”

การใช้คีย์เวิร์ดแบบนี้อาจได้ผลเมื่อ 10 ปีก่อน แต่ตอนนี้ไม่แล้ว คีย์เวิร์ดควรปรากฏอย่างเป็นธรรมชาติในเนื้อหา และไม่ควรใช้ซ้ำซากจนดูเหมือนสแปม เพียงแค่ใช้คีย์เวิร์ดหลักสัก 1-2 ครั้งก็เพียงพอแล้ว ง่ายแค่นั้นเอง

ใช้ LSI คีย์เวิร์ดเพื่อเพิ่มความเกี่ยวข้อง

นอกจากคีย์เวิร์ดหลักแล้ว คุณควรใส่คีย์เวิร์ดแบบ LSI ด้วย LSI ย่อมาจาก Latent Semantic Indexing หรือพูดง่ายๆ ก็คือคำที่มีความเกี่ยวข้องกัน Google เชื่อว่าหน้าที่มีคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องจะดูเป็นธรรมชาติมากขึ้นและมีคุณภาพดีกว่า ดังนั้นการใส่คีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องก็เป็นเรื่องที่ควรทำ

การปรับหน้าเว็บให้ดี คุณควรมีทั้งคีย์เวิร์ดหลักและคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้อง ลองหาคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องสัก 2-3 คำแล้วนำมาใส่ในหน้าเว็บของคุณ การใช้เครื่องมืออย่าง LSIGraph (https://lsigraph.com/) จะช่วยให้คุณหาคีย์เวิร์ดที่ Google มองว่าเกี่ยวข้องกับคีย์เวิร์ดหลักของคุณ

จุดสำคัญในการใส่คีย์เวิร์ด

นี่คือบริเวณที่ควรใส่คีย์เวิร์ดเพื่อให้มีผลต่อ SEO:

  • Meta description และ title tags
  • ลิงก์นำทาง (navigation anchor text)
  • Title tags ของลิงก์นำทาง
  • หัวข้อ (h1, h2, h3, และ h4)
  • เนื้อหาหลัก
  • ข้อความที่เน้นด้วยตัวหนาหรือตัวเอียง
  • ลิงก์ภายใน
  • ชื่อไฟล์รูปภาพ, alt tag และ title tag ของรูปภาพ
  • ชื่อไฟล์วิดีโอ และชื่อเรื่องวิดีโอ

การใส่คีย์เวิร์ดในจุดเหล่านี้อย่างเป็นธรรมชาติจะช่วยให้คุณมีโอกาสสูงที่จะได้อันดับที่ดีโดยไม่ถูกมองว่าเป็นสแปมจาก Google

วิธีเพิ่มคนคลิกเว็บไซต์ของคุณจาก Google

มีหลายคนเข้าใจผิดเกี่ยวกับ Meta Tags ว่าเป็นโค้ดลึกลับที่ผู้เชี่ยวชาญด้าน SEO ใช้เพื่อให้เว็บไซต์ติดอันดับต้นๆ ใน Google ซึ่งจริงๆ แล้ว Meta Tags ไม่ได้มีความซับซ้อนขนาดนั้น หน้าที่ของ Meta Tags คือ การควบคุมว่าเว็บไซต์ของคุณจะแสดงอย่างไรในผลการค้นหาของ Google ถ้าคุณไม่กรอก Meta Tags เลย Google จะดึงข้อความจากเว็บไซต์ของคุณมาใช้เอง ซึ่งอาจทำให้ผลการค้นหาดูยุ่งเหยิงและไม่น่าสนใจเลย!

การใส่ Meta Tags อย่างถูกต้อง จะช่วยเพิ่มจำนวนคนที่คลิกเข้ามาในเว็บไซต์ของคุณจากผลการค้นหาได้ ตัวอย่าง Meta Tags ที่ควรกรอก เช่น:

<title>เรียนกอล์ฟบ้านฉาง สนามอีสเทิร์น</title>
<meta description=”สอนกอล์ฟมือใหม่ ตั้งแต่ศูนย์จนลงสนาม! เรียนตั้งแต่การพัต จนถึงไดรเวอร์ สนุกเข้าใจง่าย โปรตึ๊ก GI-1088″/>
<meta name=”robots” content=”noodp, noydir”/>

ตัวอย่างการแสดงผลใน Google จาก Meta Tags ข้างต้น:

เรียนกอล์ฟบ้านฉาง สนามอีสเทิร์น
สอนกอล์ฟมือใหม่ ตั้งแต่ศูนย์จนลงสนาม! เรียนตั้งแต่การพัต จนถึงไดรเวอร์ สนุกเข้าใจง่าย โปรตึ๊ก GI-1088
https://YOURSITE.com/

ง่ายๆ แบบนี้เลย!

ข้อจำกัดของ Meta Tags:

  • Title Tag: ควรมีความยาวไม่เกิน 70 ตัวอักษร ถ้าเกินกว่านี้ Google จะตัดข้อความบางส่วนออก
  • Meta Description: ควรมีความยาวไม่เกิน 155 ตัวอักษร เช่นเดียวกับ Title ถ้าเกิน Google จะตัดออก
  • Meta Robots Tag: ตัวนี้ใช้เพื่อบอก Google ว่าคุณต้องการควบคุมการแสดงผลของเว็บไซต์ในผลการค้นหา และป้องกันไม่ให้ Google ดึงข้อมูลจากไดเร็กทอรีอื่นๆ อย่างเช่น Open Directory Project หรือ Yahoo Directory มาแทน

วิธีเปลี่ยน Meta Tags บนเว็บไซต์ของคุณ:

  1. ใช้ระบบจัดการเนื้อหา (CMS) ที่เว็บไซต์ของคุณสร้างขึ้น นั่นคือ WordPress ติดตั้งปลั๊กอิน SEO แค่นี้ก็สามารถแก้ไข Meta Tags ได้อย่างง่ายได้
  2. ถ้าคุณมีความรู้ทางด้าน HTML สามารถแก้ไข Meta Tags ได้โดยตรงในโค้ดของเว็บไซต์

การใส่ Meta Tags อย่างถูกต้องไม่เพียงช่วยให้ Google เข้าใจเว็บไซต์ของคุณมากขึ้น แต่ยังทำให้คนที่เห็นผลการค้นหาคลิกเข้ามาในเว็บไซต์ของคุณมากขึ้นด้วยครับ

ความเร็วในการโหลดเว็บไซต์ — เคล็ดลับที่ช่วยให้ Google จัดอันดับดีขึ้น

ความเร็วในการโหลดเว็บไซต์ของคุณเป็นปัจจัยสำคัญที่ Google ใช้ในการพิจารณาอันดับของเพจในผลการค้นหา ยิ่งเว็บไซต์ของคุณโหลดเร็วเท่าไหร่ โอกาสที่อันดับของคุณจะดีขึ้นก็เพิ่มขึ้นเท่านั้น

อดีตหัวหน้าทีมต่อต้านสแปมเว็บของ Google, Matt Cutts เคยบอกไว้ชัดเจนว่าเว็บไซต์ที่โหลดเร็วเป็นปัจจัยบวกต่อการจัดอันดับ

ถ้าเว็บไซต์ของคุณโหลดช้าเหมือนหอยทากที่ตายแล้ว ก็ไม่แปลกที่เว็บไซต์ของคุณอาจไม่ได้แสดงศักยภาพที่แท้จริงในเสิร์ชเอนจิน แต่ถ้าเว็บไซต์ของคุณมีความเร็วในการโหลดเฉลี่ย การปรับปรุงความเร็วนี้จะเป็นโอกาสให้คุณเพิ่มประสิทธิภาพ SEO ได้ง่ายๆ

นอกจากความเร็วในการโหลดจะช่วยในการจัดอันดับของ Google แล้ว รายงานในอุตสาหกรรมยังแสดงให้เห็นว่า ทุกๆ วินาทีที่ลดลงจากเวลาการโหลดจะช่วยเพิ่มอัตราการแปลง (conversion rate) ของเว็บไซต์เฉลี่ย 7% พูดง่ายๆ ก็คือ ยิ่งเว็บไซต์ของคุณโหลดเร็วเท่าไหร่ โอกาสที่คนจะทำการสั่งซื้อหรือลงทะเบียนก็ยิ่งสูงขึ้น ความเร็วในการโหลดจึงเป็นสิ่งที่คุณไม่ควรละเลย

แต่ละเว็บไซต์ถูกสร้างขึ้นแตกต่างกันไป การปรับปรุงความเร็วในการโหลดจึงไม่ใช่เรื่องง่ายเหมือนทำตามเช็กลิสต์ทั่วไป อย่างไรก็ตาม เทคนิคต่อไปนี้จะเป็นวิธีที่ใช้ได้กับเว็บไซต์ส่วนใหญ่

วิธีปรับปรุงความเร็วในการโหลดที่พบบ่อย

– โฮสต์เว็บไซต์ของคุณในเมืองที่กลุ่มลูกค้าของคุณอยู่ เช่น โซน Asia หรือ America จะช่วยเพิ่มความเร็วในการโหลด

– อีกทางเลือกหนึ่งคือการใช้ CDN (Content Delivery Network) ที่จะช่วยกระจายเว็บไซต์ของคุณไปยังเซิร์ฟเวอร์ต่างๆ ทั่วโลก ทำให้ผู้เข้าชมได้ความเร็วในการโหลดที่ดีไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ที่ไหน CDN ยอดนิยมได้แก่ Amazon CloudFront, MaxCDN และ Cloudflare เว็บผมใช้วิธีการนี้อยู่ครับ

– ใช้เทคโนโลยีเพิ่มความเร็วในการโหลดอย่างเช่น การแคช (caching), การบีบอัดข้อมูล (compression), การย่อขนาดไฟล์ (minification) และการใช้โปรโตคอล HTTP/2 แพลตฟอร์มส่วนใหญ่มีปลั๊กอินให้เลือกใช้ เช่น W3 Total Cache ที่มีฟีเจอร์ครบสำหรับผู้ใช้ WordPress

– ค้นหาไฟล์ขนาดใหญ่ในเว็บไซต์ของคุณและลดขนาดลง ใช้ซอฟต์แวร์อย่าง Canva ในการบีบอัดไฟล์รูปภาพ อย่าให้มีขนาดเกิน 250KB โดยไม่เสียคุณภาพภาพ นี่เป็นวิธีที่ได้ผลง่ายๆ สำหรับเว็บไซต์ที่มีรูปภาพเยอะ

เครื่องมือที่ช่วยวิเคราะห์ความเร็วในการโหลด

โชคดีที่มีเครื่องมือหลายตัวที่จะช่วยให้คุณเห็นแนวทางในการปรับปรุงความเร็ว ส่วนตัวผมใช้ Pingdom และระบุจุดที่ทำให้เว็บไซต์โหลดช้า ไม่ว่าคุณจะใช้เทคโนโลยีแบบไหนในการสร้างเว็บไซต์

Pingdom Tools: เครื่องมือวิเคราะห์ความเร็วในการโหลด

Pingdom Tools Speed Test เป็นหนึ่งในเครื่องมือที่ดีที่สุดในการตรวจสอบความเร็วของเว็บไซต์ โดยจะให้ข้อมูลแบบละเอียดเกี่ยวกับไฟล์และทรัพยากรที่ทำให้เว็บไซต์ของคุณช้า แสดงขนาดของไฟล์แต่ละไฟล์ เวลาการโหลดของเซิร์ฟเวอร์ และอื่นๆ อีกมากมาย

ไฟล์ sitemaps.xml และ robots.txt

เสิร์ชเอนจินจะค้นหาไฟล์พิเศษในทุกๆ เว็บไซต์ที่ชื่อว่า sitemaps.xml การมีไฟล์นี้บนเว็บไซต์ของคุณเป็นเรื่องจำเป็น เพราะมันช่วยให้เสิร์ชเอนจินเจอหน้าเว็บทั้งหมดของคุณได้ง่ายขึ้น Sitemaps เป็นเหมือนแผนที่ใหญ่ที่รวมทุกหน้าในเว็บไซต์ของคุณ โชคดีที่การสร้างไฟล์นี้และอัปโหลดขึ้นเว็บไซต์เป็นขั้นตอนที่ง่ายและรวดเร็ว

วิธีสร้างและอัปโหลดไฟล์ sitemaps.xml

CMS ส่วนใหญ่ เช่น WordPress, Magento, และ Shopify จะสร้างไฟล์ sitemaps.xml ให้โดยอัตโนมัติ แต่ถ้าระบบของคุณไม่ได้สร้างไฟล์นี้ คุณอาจต้องติดตั้งปลั๊กอินหรือใช้เครื่องมือฟรีอย่าง XML Sitemaps Generator ที่จะสร้างไฟล์นี้ให้คุณโดยอัตโนมัติ

เครื่องมือสร้าง XML Sitemaps:
https://www.xml-sitemaps.com/

หลังจากที่ได้ไฟล์ sitemaps.xml แล้ว คุณสามารถอัปโหลดไฟล์นี้ไปยังไดเรกทอรีหลักของเว็บไซต์ของคุณ หรือถ้าคุณมีสิทธิ์เข้าถึง FTP คุณก็สามารถทำได้เอง เมื่ออัปโหลดแล้ว ไฟล์นี้ควรจะสามารถเข้าถึงได้ในลักษณะ URL แบบนี้:

https://www.yoursite.com/sitemaps.xml

จากนั้น อย่าลืมส่ง sitemaps ของคุณไปยัง Google Search Console เพื่อให้ Google รู้ว่าไฟล์นี้อยู่ที่ไหน

ถ้าคุณยังไม่มีบัญชี Google Search Console ลองดูบทความนี้ที่ Google ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการตั้งค่า:

เพิ่มเว็บไซต์ใน Google Search Console

หลังจากเข้าสู่ระบบแล้ว คลิกไปที่เว็บไซต์ของคุณ จากนั้นไปที่ “Site Configuration” แล้วคลิกที่ “Sitemaps” เพื่อส่งไฟล์ sitemaps.xml

ไฟล์ robots.txt

อีกไฟล์หนึ่งที่ทุกเว็บไซต์ควรมีคือ robots.txt ไฟล์นี้ควรอยู่ในตำแหน่งเดียวกับไฟล์ sitemaps.xml ตัวไฟล์นี้มีหน้าที่บอกให้เสิร์ชเอนจินรู้ว่ามีส่วนใดในเว็บไซต์ของคุณที่ไม่ต้องการให้เสิร์ชเอนจินแสดงผล

แม้ว่าไฟล์ robots.txt จะไม่ได้ช่วยเพิ่มอันดับให้เว็บไซต์โดยตรง แต่ก็สำคัญมาก เพราะถ้าไฟล์นี้บล็อกพื้นที่สำคัญของเว็บไซต์โดยไม่ตั้งใจ เสิร์ชเอนจินจะไม่สามารถเจอเนื้อหาบางส่วนของคุณได้

ตัวอย่างการตั้งค่าไฟล์ robots.txt:

# robots.txt - ตัวอย่างที่ดี
User-agent: *  
Disallow: /admin  
User-agent: *  
Disallow: /logs
ถ้าคุณต้องการบล็อกไม่ให้เสิร์ชเอนจินเข้าถึงเว็บไซต์ทั้งหมด ไฟล์จะมีลักษณะดังนี้:

User-agent: * 
Disallow: /admin
Disallow: /logs
    

สัญลักษณ์ / ในตัวอย่างนี้บอกเสิร์ชเอนจินว่าไม่ให้เข้าถึงไดเรกทอรีหลักของเว็บไซต์

วิธีสร้างไฟล์ robots.txt

คุณสามารถสร้างไฟล์ robots.txt ได้ง่ายๆ โดยใช้โปรแกรม Notepad (Windows) หรือ TextEdit (Mac OS) แล้วบันทึกเป็นไฟล์ข้อความธรรมดา (.txt) อย่าลืมตรวจสอบให้ดีว่าไฟล์นี้ไม่ได้บล็อกพื้นที่สำคัญ เช่น โฟลเดอร์สำหรับแอดมิน หรือโฟลเดอร์ภายในอื่นๆ

ถ้าไม่มีพื้นที่ใดที่คุณอยากบล็อก คุณก็สามารถข้ามการสร้างไฟล์ robots.txt ได้ แต่ควรตรวจสอบว่าไม่มีไฟล์นี้บล็อกส่วนสำคัญของเว็บไซต์อย่างไม่ตั้งใจ

เนื้อหาซ้ำกัน — การใช้ canonical tags และเทคนิคง่ายๆ

ในโพสถัดไปผมจะพูดถึงวิธีที่ Google Panda ใช้ลงโทษเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาซ้ำกัน แต่ปัญหาคือหลายๆ ระบบจัดการเนื้อหา (CMS) มักจะสร้างหลายๆ เวอร์ชันของหน้าเว็บเดียวกันโดยอัตโนมัติ

ยกตัวอย่างเช่น เว็บไซต์ของคุณมีหน้าผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับ Golf Shafts แต่เพราะระบบที่เว็บไซต์ของคุณใช้ มันทำให้หน้านี้สามารถเข้าถึงได้จากหลาย URL ในหลายๆ ส่วนของเว็บไซต์ เช่น:

  • http://www.yoursite.com/products.aspx?=23213
  • http://www.yoursite.com/golf-shafts
  • http://www.yoursite.com/collection/golf-shafts

จากมุมมองของเสิร์ชเอนจิน การมีหลาย URL สำหรับเนื้อหาเดียวกันนั้นทำให้เกิดความสับสน และแต่ละเวอร์ชันของหน้าเว็บนั้นถือว่าเป็น เนื้อหาซ้ำกัน

เพื่อป้องกันปัญหานี้ คุณควรใส่แท็กพิเศษลงไปในทุกหน้าของเว็บไซต์ที่เรียกว่า canonical tag

Canonical Tag คืออะไร?

Canonical tag คือแท็กที่บอกให้เสิร์ชเอนจินรู้ว่าเวอร์ชันไหนของหน้าเว็บคือเวอร์ชันที่แท้จริง โดยการบอกให้ Google รู้ว่าหน้าไหนที่คุณถือว่าเป็น หน้าเว็บต้นฉบับ คุณสามารถควบคุมได้ว่าหน้าใดจะปรากฏในผลการค้นหา

ควรเลือก URL ที่ง่ายและเข้าใจง่ายที่สุดสำหรับผู้ใช้ ยิ่งอ่านเข้าใจง่ายเท่าไหร่ยิ่งดี

กลับไปที่ตัวอย่าง Golf Shafts หากคุณใช้ canonical tag แบบด้านล่างนี้ Google จะมีแนวโน้มที่จะแสดงเวอร์ชันที่ดีที่สุดของหน้าในผลการค้นหา:

<link rel="canonical" href="http://www.yoursite.com/golf-shafts"/>

ถ้าคุณใช้ WordPress และลง plugin อย่าง yoast seo ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องการใช้ canonical tag ทุกๆครั้งที่คุณสร้างหน้าใหม่ในเว็บไซต์ plugin มันจะสร้าง canonical tag ให้เองอัตโตมัติ ช่วยให้ Google รู้ว่าหน้าใดคือหน้าหลัก ช่วยลดปัญหาเนื้อหาซ้ำกันและทำให้เว็บไซต์ของคุณจัดอันดับได้ดียิ่งขึ้นนั่นเอง

การใช้งานเว็บไซต์ (Usability) – ปัจจัยใหม่ของ SEO

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา มือถือและแท็บเล็ตได้แซงคอมพิวเตอร์ไปในเรื่องของการใช้อินเทอร์เน็ต โดยคิดเป็น 56% ของทราฟฟิกทั้งหมดในปี 2017 เพื่อให้ผู้ใช้ทุกคนมีประสบการณ์ที่ดี Google จึงให้ความสำคัญกับเว็บไซต์ที่ให้ประสบการณ์การใช้งานที่ดีบนทุกอุปกรณ์ ซึ่งทำให้การใช้งานเว็บไซต์ (Usability) กลายมาเป็นปัจจัยสำคัญใน SEO การทำให้เว็บไซต์ใช้งานง่ายจึงเป็นหนึ่งในวิธีที่ช่วยให้เว็บไซต์ของคุณมีอันดับที่ดียิ่งขึ้น

ยกตัวอย่างเช่น มีผู้ใช้มือถือคนหนึ่งค้นหา โปรสอนกอล์ฟในอำเภอบ้านฉาง ธุรกิจหนึ่งมีเว็บไซต์ที่มีลิงก์ย้อนกลับ (backlinks) จำนวนมาก แต่ไม่มีการออกแบบเพื่อรองรับการใช้งานบนมือถือเลย ทำให้ผู้ใช้เข้าใจยาก และการแสดงผลก็ไม่เข้ากับหน้าจอ อีกทั้งข้อความในเมนูก็เล็กเกินไปเมื่อใช้งานผ่านหน้าจอสัมผัส

ในขณะที่ธุรกิจท้องถิ่นอีกเจ้ามีเว็บไซต์ที่มีลิงก์ย้อนกลับน้อยกว่า แต่รองรับการใช้งานบนมือถืออย่างดี เว็บไซต์นี้ออกแบบให้พอดีกับหน้าจอและมีการนำทางที่เหมาะสำหรับผู้ใช้มือถือ ทำให้ใช้งานได้ง่าย

ในกรณีนี้ เว็บไซต์ที่สองมีโอกาสสูงที่จะได้รับอันดับที่ดีกว่าสำหรับผู้ใช้มือถือ นี่เป็นตัวอย่างหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่าการใช้งานเว็บไซต์มีผลต่ออันดับการค้นหาอย่างมาก

แม้ว่าคำว่า Usability อาจฟังดูคลุมเครือ แต่เราจะมาดูกันว่ามีขั้นตอนอะไรบ้างที่สามารถปรับปรุงการใช้งานและเพิ่มประสิทธิภาพ SEO ของเว็บไซต์ได้

ทำให้เว็บไซต์ของคุณใช้งานได้บนทุกอุปกรณ์

ให้เว็บไซต์ของคุณรองรับทุกอุปกรณ์ ไม่ว่าจะเป็นเดสก์ท็อป มือถือ หรือแท็บเล็ต วิธีที่ง่ายที่สุดคือการทำเว็บไซต์แบบ Responsive** คือให้เว็บไซต์ปรับขนาดอัตโนมัติเพื่อให้เข้ากับอุปกรณ์ทุกชนิด และมีการนำทางที่เหมาะกับมือถือ คุณสามารถทดสอบว่าเว็บไซต์ของคุณรองรับมือถือหรือไม่โดยใช้เครื่องมือนี้:

[Mobile friendly Test – Bing](https://www.bing.com/webmaster/tools/mobile-friendliness)

Mobile friendly test

เพิ่มคุณภาพของเนื้อหา

ในปัจจุบัน การจ้างนักเขียนที่ผลิตเนื้อหาคุณภาพต่ำจำนวนมากๆ ไม่ใช่แนวทางที่ดีอีกต่อไป เนื้อหาควรถูกตรวจทานและแก้ไขอย่างดี ยิ่งเนื้อหาของคุณมีความน่าสนใจมากเท่าไหร่ ผู้ใช้ก็จะใช้เวลาอยู่ในเว็บไซต์ของคุณนานขึ้น และมีโอกาสน้อยลงที่จะกดกลับไปยังหน้าผลการค้นหา นอกจากนี้ยังเพิ่มโอกาสที่เนื้อหาของคุณจะถูกแชร์ ซึ่งจะช่วยเพิ่มอันดับของคุณใน Google

ใช้โค้ดที่สะอาด

หลายเว็บไซต์ยังมีโค้ดที่ไม่ได้มาตรฐาน ซึ่งยากสำหรับเสิร์ชเอนจินและเบราว์เซอร์ในการอ่าน ถ้าเว็บไซต์ของคุณมีข้อผิดพลาดในโค้ด HTML อาจทำให้ดีไซน์พังเมื่อดูจากเบราว์เซอร์ที่แตกต่างกัน หรือแย่กว่านั้น คือทำให้เสิร์ชเอนจินสับสน คุณสามารถใช้เครื่องมือนี้เพื่อตรวจสอบมาตรฐานโค้ดของเว็บไซต์:

[Web standards validator](https://validator.w3.org/)

ใช้ป๊อปอัปและโฆษณาให้น้อยที่สุด

เว็บไซต์ที่มีโฆษณาก้าวร้าวและดูเป็นสแปมมักจะมีอันดับต่ำ ไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจนว่าโฆษณามากแค่ไหนถึงจะถูกลงโทษจาก Google แต่ควรใช้วิจารณญาณของคุณในการจัดการโฆษณา อย่าให้โฆษณามีพื้นที่มากเกินไปจนกลบเนื้อหาของคุณ

ปรับปรุงการทำงานของเว็บไซต์โดยรวม

เว็บไซต์ของคุณโหลดช้าหรือมีลิงก์และรูปภาพที่เสียหายหรือไม่? สิ่งเหล่านี้เป็นปัจจัยเล็กๆ ที่ทำให้ประสบการณ์ของผู้ใช้แย่ลง ควรเลือกผู้ให้บริการโฮสติ้งที่เชื่อถือได้และตรวจสอบว่าเว็บไซต์ของคุณไม่ล่มในช่วงที่มีทราฟฟิกสูง

อีกสิ่งที่ควรทำคือการแก้ไข 404 Errors (ลิงก์เสีย) คุณสามารถหาข้อผิดพลาดเหล่านี้ได้ใน Google Search Console โดยไปที่ “Crawl” และ “Crawl Errors” จากนั้นคุณจะเห็นลิสต์ของข้อผิดพลาด และสามารถคลิกที่ข้อผิดพลาดเพื่อหาหน้าลิงก์ที่มีปัญหา

[Google Search Console](https://search.google.com/search-console/about)

สำหรับเครื่องมืออื่นๆ ที่จะช่วยให้คุณปรับปรุงการใช้งานเว็บไซต์ได้เร็วขึ้น คุณอาจลองใช้:

BrowserStack: เครื่องมือนี้ช่วยให้คุณทดสอบเว็บไซต์บนเบราว์เซอร์ต่างๆ และอุปกรณ์ต่างๆ เช่น Chrome, Firefox, Safari ฯลฯ
Try My UI: เครื่องมือนี้ให้บริการวิดีโอ, การบรรยาย, และแบบสำรวจจากผู้ใช้งานจริงที่จะรายงานปัญหาที่พบ

หากคุณใช้ WordPress แนะนำให้ลง plugin “401 Direct to Homepage” ติดเอาไว้ เพราะในอนาคตคุณอาจจะลบเว็บเพจบางหน้าออกไปจากเว็บของคุณ มันจะเกิด 404 error และตัว plugin นี้ มันจะ redirect มายังหน้าแรกเสมอ สร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้ใช้งานและเสิร์ชเอนจิน