หลายคนคิดว่า SEO ต้องใช้เวลาหลายเดือนกว่าจะเห็นผล ต้องมีทีมงานใหญ่ สร้างคอนเทนต์เยอะ และทำลิงก์กลับ (backlink) ให้เพียบ แต่นั่นไม่ใช่ความจริงเสมอไป
ถ้าคุณทำตามขั้นตอน SEO แบบง่าย ๆ 3 ขั้นตอนนี้ คุณจะเริ่มเห็นผลลัพธ์ได้ในเวลาไม่ถึงชั่วโมง หนึ่งในลูกค้าของผมใช้วิธีนี้ แล้วทราฟฟิกเพิ่มขึ้นถึง 10 เท่าในเดือนเดียว โดยไม่เสียเงินเลยสักบาท
เรามาเริ่มกันเลยครับ
วิดีโอต้นฉบับ
Get 10x More Website Traffic with This Free SEO Technique
วิธีการเปิด ซับไตเติล กดเล่นวิดีโอ หมุนโทรศัพท์ให้อยู่ในแนวนอน มองหา CC แล้วเลือก ภาษาไทย
ขั้นตอนที่ 1: ปรับย่อหน้าแรกของคุณ
Google เปลี่ยนวิธีจัดอันดับหน้าเว็บแล้ว ตอนนี้มันให้ความสำคัญกับสิ่งที่เรียกว่า Goal Completion หรือ การตอบคำถามของผู้ค้นหาให้ได้ทันที
Google ไม่สนใจว่าหน้าเว็บจะสวยหรือยาวแค่ไหน มันแค่อยากให้ผู้ใช้ได้สิ่งที่พวกเขาหามาให้เร็วที่สุด ถ้าย่อหน้าแรกของคุณตอบไม่ได้ ก็มีโอกาสสูงที่อันดับจะตก
สิ่งที่ควรทำคือ:
- ใส่คำค้นหาหลักในประโยคแรก
- ตอบคำถามของผู้ใช้อย่างตรงประเด็น
- ตัดเกริ่นนำยืดยาวหรือประวัติบริษัทออกไป
ตัวอย่าง: ถ้ามีคนค้นว่า “SEO คืออะไร?” ประโยคแรกของคุณควรเป็น
“SEO หรือ Search Engine Optimization คือกระบวนการเพิ่มการมองเห็นเว็บไซต์บน Google”
แค่นั้นพอครับ
ขั้นตอนที่ 2: ปรับ Title Tag และ H1 Tag ให้ตรงประเด็น
Title Tag คือชื่อหน้าที่แสดงบน Google ส่วน H1 Tag คือหัวข้อใหญ่ของหน้า ทั้งสองช่วยให้ Google เข้าใจว่าคุณพูดถึงเรื่องอะไร
ถ้า Title Tag ของคุณเขียนว่า “หน้าแรก” หรือ “ยินดีต้อนรับ” Google จะสับสนมาก
วิธีแก้คือ:
- ใช้คำค้นหลักในทั้ง Title และ H1
- เขียนให้กระชับและชัดเจน
- ให้ทั้งสองแท็กตรงกับสิ่งที่ผู้ใช้ต้องการ
เช่น ถ้าคุณเขียนหน้าเรื่อง “วิธีซ่อมเครื่องทำน้ำร้อนด้วยตัวเอง” หัวข้อและชื่อหน้าควรมีคำนั้นชัดเจน
ขั้นตอนที่ 3: ให้เนื้อหาตรงกับความตั้งใจของผู้ค้นหา (Search Intent)
Search Intent หมายถึง สิ่งที่ผู้ค้นหาต้องการจริง ๆ เวลาเสิร์ช Google รู้เรื่องนี้จากการดูว่าคนส่วนใหญ่คลิกอะไร
ตัวอย่าง:
- “เดรสสีดำ” ส่วนใหญ่ต้องการซื้อสินค้า
- “ประวัติเดรสสีดำ” ต้องการอ่านเนื้อหา
ถ้าเนื้อหาของคุณไม่ตรงกับหน้าที่กำลังติดอันดับอยู่แล้ว ต่อให้ดีแค่ไหนก็ไม่ติดอันดับ
ให้ลองค้นคำนั้นบน Google แล้วสังเกตว่า:
- เป็นบทความ, หน้าสินค้า หรือวิดีโอ?
- เนื้อหามีรูปแบบอย่างไร (ลิสต์, วิธีทำ, เปรียบเทียบ)?
- ยาวหรือสั้นแค่ไหน?
แล้วคุณก็สร้างเนื้อหาในรูปแบบเดียวกัน แต่ทำให้ดีกว่า
เลือกหน้าที่ควรปรับก่อน
ไม่ใช่ทุกหน้าควรปรับพร้อมกัน ให้เริ่มจากหน้าที่ติดอันดับในตำแหน่ง 6 ถึง 15 เพราะเป็นตำแหน่งที่ขยับขึ้นได้ง่ายและเห็นผลไว
ใช้ Google Search Console เพื่อค้นหาหน้าเหล่านี้:
- ไปที่รายงาน “Search Results”
- กรองด้วยค่าเฉลี่ยอันดับ ≥ 6
- เลือกคำค้นที่คุณอยากได้ทราฟฟิกเพิ่ม
หลีกเลี่ยงหน้าที่มีอันดับดีอยู่แล้วจากหลายคำค้น เพราะการเปลี่ยนมากเกินไปอาจกระทบลำดับ
ใช้เครื่องมือช่วยให้เร็วขึ้น
มีเครื่องมือที่ช่วยให้คุณวิเคราะห์ได้เร็วขึ้น หนึ่งในนั้นคือ Page Optimizer Pro เครื่องมือนี้จะเปรียบเทียบหน้าของคุณกับหน้าอันดับต้น ๆ แล้วให้คำแนะนำ
คุณจะเห็นว่า:
- ควรใช้คำหลักกี่ครั้ง
- เนื้อหาสั้นหรือยาวเกินไปไหม
- หัวข้อย่อย รูปภาพ การจัดรูปแบบโอเคไหม
และยังจัดลำดับความสำคัญของสิ่งที่ควรแก้ก่อนด้วย
สรุป: รวมเทคนิคทั้งหมดเข้าด้วยกัน
นี่คือ 5 อย่างที่คุณควรทำ:
- ย่อหน้าแรก: ตอบคำถามของผู้ใช้ทันที
- Title และ H1: ชัดเจน ใช้คำค้นหลัก
- Search Intent: ให้ตรงกับสิ่งที่ Google แสดงอยู่แล้ว
- ลำดับความสำคัญ: เริ่มจากหน้าที่อยู่อันดับ 6–15
- ใช้เครื่องมือ: อย่าง Page Optimizer Pro เพื่อช่วยวิเคราะห์
วิธีนี้ได้ผลเพราะใช้ข้อมูลจริงจากสิ่งที่ Google ชอบ ไม่ต้องเขียนเนื้อหาใหม่ แค่ปรับของที่มีให้ดีขึ้น
ทิ้งท้าย
การเพิ่มทราฟฟิกไม่จำเป็นต้องช้าและแพง เทคนิคพวกนี้เรียบง่าย ใช้เวลาน้อย และฟรี
เมื่อเริ่มได้ผลแล้ว คุณสามารถใช้วิธีเดียวกันกับหน้าอื่น ๆ ได้อีก
ถ้าอยากรู้วิธีเปลี่ยนทราฟฟิกให้เป็นลูกค้าจริง ลองอ่านบทความถัดไปที่เราจะแนะนำเรื่องนี้โดยเฉพาะครับ